โรคภัยไข้เจ็บมักเป็นสิ่งที่ทุกคนไม่อยากให้เกิดขึ้นกับตัวเอง แต่ด้วยไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนยุคใหม่ อีกทั้งสภาพแวดล้อมหรือมลภาวะรอบตัวต่าง ๆ ที่เปลี่ยนไปทำให้คนเราป่วยกันง่ายมากขึ้น โดยเฉพาะ “โรคร้ายแรง” ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่าที่ผ่านมาเราอาจใช้ร่างกายหนักเกินไปหรือดูแลร่างกายไม่ดีพอ คำถามก็คือ หากไม่อยากเผชิญหน้ากับ “โรคร้ายแรง” แล้วเราควรจะดูแลตัวเองอย่างไร วันนี้เรามี 5 เคล็ดลับดี ๆ มาแนะนำเพื่อให้ทุกคนห่างไกลจากโรคร้ายแรง
โรคร้ายแรง คืออะไร ?
โรคร้ายแรง แค่ชื่อก็บอกแล้วว่าไม่ใช่เล่น ๆ เพราะโรคร้ายแรงนั้นต้องอาศัยเทคนิคการรักษาเฉพาะทาง และกินระยะเวลานานกว่าจะหาย หรืออาจต้องรักษาอย่างต่อเนื่องไปตลอดชีวิต ทำให้มีค่ารักษาพยาบาลที่แพงมาก ๆ แน่นอนว่าขึ้นชื่อว่าเป็นโรคร้ายแรง ความเจ็บปวดย่อมทรมานมากกว่าโรคทั่ว ๆ ไป อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ ซึ่งโรคร้ายแรงที่คนไทยเป็นกันมากก็อย่างเช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคตับ โรคปอด โรคหลอดเลือดสมอง เป็นต้น
โรคมะเร็ง : นับเป็นโรคร้ายแรงอันดับหนึ่งที่ทำให้คนไทยเสียชีวิตมากที่สุด จากสถิติของสถาบันมะเร็งแห่งชาติเมื่อปี 2561 พบว่าในแต่ละปี ชาวไทยป่วยเป็นโรคมะเร็งมากถึง 139,206 คน และเสียชีวิตกันกว่า 84,000 คนต่อปี หรือหากจะพูดให้เห็นภาพกว่านั้น จากสถิติพบว่า ในแต่ละชั่วโมงมีคนไทยเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเฉลี่ย 7-8 คนเลยทีเดียว โดยในผู้ชายมักป่วยเป็นโรคมะเร็งตับมากที่สุด ส่วนผู้หญิงก็คือมะเร็งเต้านม ส่วนใหญ่แล้วผู้ป่วยมักตรวจเจอโรคมะเร็งก็ในระยะท้าย ๆ แล้ว จึงทำให้มีอัตราการเสียชีวิตที่สูงมาก
โรคหัวใจ : ลองคิดดูว่าหัวใจเป็นอวัยวะที่มีความแข็งแรงและทนทานมาก เพราะหัวใจจะต้องทำงานตลอดเวลาไม่ได้หยุดพัก แต่เรากลับไม่ค่อยคำนึงถึงเรื่องนี้ พฤติกรรมในชีวิตประจำวันที่เราคิดว่าคงไม่เป็นอะไรอย่างการพักผ่อนน้อย เครียด กินอาหารไขมันสูง เหล่านี้ล้วนเสี่ยงทำให้เกิดโรคหัวใจทั้งสิ้น โดยผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ในประเทศไทยพบว่ามีถึง 2-3 คนต่อชั่วโมงเลยทีเดียว
โรคตับ : ตับนับเป็นอีกหนึ่งอวัยวะที่สำคัญมาก เพราะมีหน้าที่สร้างน้ำย่อยในการย่อยอาหาร ช่วยดูแลการแข็งตัวของเลือด ช่วยสังเคราะห์โปรตีนและไขมัน ดังนั้นหากเราดำเนินชีวิตโดยมีพฤติกรรมเสี่ยง อย่างเช่น ดื่มสุราหนัก กินอาหารไขมันเยอะจนไปพอกตับ หรือมีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ก็จะส่งผลให้ตับทำงานได้ไม่เต็มที่ ย่อยอาหารไม่ได้ เลือดออกง่ายและไม่แข็งตัว สุดท้ายเมื่ออาการหนักเข้าก็นำไปสู่ภาวะตับวาย และเสียชีวิตในที่สุด
โรคปอด : ปอดเป็นอวัยวะสำคัญที่ช่วยในการหายใจ แต่หากมีอาการผิดปกติอย่างเช่น หายใจติดขัด ไอเรื้อรัง หรือไอเป็นเลือด เดาได้เลยว่าปอดของเราเริ่มไม่ปลอดภัยแล้ว ผู้ที่สูบบุหรี่จัด หรือต้องเข้าไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นมลพิษ เช่น โรงงานที่เต็มไปด้วยสารเคมีหรือก๊าซพิษ ฝุ่นละออง PM2.5 มักจะเสี่ยงเกิดเป็นโรคปอดได้มาก ไม่ว่าจะโรคถุงลมโป่งพอง หรือแม้แต่มะเร็งปอด
โรคหลอดเลือดสมอง : หมายถึงภาวะที่สมองของเราขาดเลือดไปเลี้ยงซึ่งจะส่งผลให้สมองตายในที่สุด อาการที่เราจะพบได้บ่อย ๆ ในผู้ที่เป็นโรคนี้ก็คือมักมีอาการชาหรือเป็นอัมพฤกษ์-อัมพาตที่บริเวณหน้า ขา หรือแขน มีปัญหาด้านการมองเห็น ปวดศีรษะ เป็นต้น สาเหตุหลัก ๆ ก็มาจากการที่เส้นเลือดอุดตัน เช่น การกินอาหารไขมันสูงจนไขมันเข้าไปอุดตันในเส้นเลือด สูบบุหรี่หรือดื่มสุราจัด เป็นต้น
จะเห็นได้ว่าโรคร้ายแรงแต่ละโรคมักเป็นผลมาจากพฤติกรรมเสี่ยงจากการใช้ชีวิตในประจำวันของเรา ซึ่งการจะรักษาก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ใช่ว่าหาหมอครั้งหนึ่ง แล้วจะหายกลับมาเป็นปกติได้เลย และเมื่อเป็นแล้วย่อมส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตในประจำวันหรือแม้กระทั่งหน้าที่การงานอย่างแน่นอน ดังนั้นจะดีกว่าไหมหากเราดูแลตัวเองให้ดีตั้งแต่ต้น และเชื่อว่าทุกคนสามารถลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเหล่านี้ได้ หากได้รู้เคล็ดลับที่จะนำมาฝากกันในวันนี้
แนะนำอ่าน : วิธีสังเกตอาการเบื้องต้นของมะเร็ง อาการแบบไหนที่สังเกตได้ด้วยตัวเอง
5 เคล็ดลับดูแลตัวเองให้ห่างไกลจากโรคร้ายแรง
1. พักผ่อนให้เพียงพอ
ทุกคนต่างรู้ดีว่าการพักผ่อนให้เพียงพอก็คือการนอนหลับสนิท 6-8 ชั่วโมง แต่พอเอาเข้าจริงกลับพบว่ามันทำตามได้ยากเสียเหลือเกิน เพราะบางคนก็ทำงานหนักจนไม่มีเวลา เที่ยวกลางคืนอยู่บ่อย ๆ หรือคนยุคใหม่มักพบว่ากิจกรรมที่อยากทำมักเกิดขึ้นในตอนกลางคืน จนกลายเป็นว่านอนไม่หลับ หรือพักผ่อนไม่เพียงพอ หารู้ไม่ว่าหากสะสมพฤติกรรมเหล่านี้ไปเรื่อย ๆ จะนำไปสู่โรคหัวใจได้ ดังนั้นทางแก้ง่าย ๆ ก็คือการจัดสรรเวลาให้ดี และให้ความสำคัญกับการพักผ่อนมาเป็นอันดับต้น ๆ
2. ค่อย ๆ ลดความเครียดลง
เรื่องนี้พูดง่ายแต่ทำยากเช่นเดียวกับการนอนหลับ เพราะความเครียดเป็นเรื่องของจิตใจซึ่งควบคุมได้ยาก สำหรับคนยุคใหม่ความเครียดมาจากหลายช่องทางมาก ๆ เช่น การงาน ความสัมพันธ์ การเงิน ฯลฯ และความเครียดเหล่านี้ นำมาสู่โรคภัยไข้เจ็บที่ร้ายแรงมากกว่าที่เราคิด เพราะมีผลต่อสมดุลฮอร์โมนภายในร่างกาย ไม่ว่าจะโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง เป็นต้น ทุกคนมีความเครียดได้ แต่อย่าลืมมองหากิจกรรมที่ช่วยทำให้ผ่อนคลายขึ้น เช่น ดูวิดีโอตลก กินของอร่อยพูดคุยกับคนสนิท ฯลฯ อย่างน้อยก็ช่วยให้เราอารมณ์ดีขึ้นมาได้ในช่วงเวลาหนึ่งเลยทีเดียว
3. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
อีกหนึ่งข้อเบสิคที่ใคร ๆ ก็ทำตามได้ไม่ยาก หลายคนอาจจะคิดว่าถ้าอยากสุขภาพดี ก็ต้องกินแต่ผักเยอะ ๆ เท่านั้น แต่ก็ไม่เสมอไป โดยเฉพาะคนที่ไม่ชอบทานผักก็คงทำได้ยาก ทางที่ดีคือการเริ่มต้นจากการรับประทานอาหาร 5 หมู่ให้ครบถ้วน ใครที่ไม่ชอบกินผักก็อาจเริ่มต้นด้วยการลองหาผักผลไม้บางชนิดที่มีรสชาติไม่ค่อยขม หรือบางคนชอบทานขนมหวานมาก นั่นไม่ใช่เรื่องผิด แต่ควรปรับเปลี่ยนให้กินอย่างพอเหมาะพอดี
4. ออกกำลังกาย
อีกหนึ่งการปรับพฤติกรรมสุดหิน ที่หลายคนต่างโอดครวญว่ามันช่างทำได้ยากเย็นเสียเหลือเกิน แต่หารู้ไม่ว่าแค่ขยับร่างกาย ไม่นั่งหรือนอนอยู่กับที่มากเกินไป ก็เท่ากับออกกำลังกายแล้ว อาจเริ่มจากการบริหารร่างกายเล็ก ๆ น้อย ๆ ระหว่างนั่งทำงาน หรือฝึกเดินขึ้นบันไดมากขึ้น แทนที่การใช้ลิฟต์ แต่ทางที่ดีควรออกกำลังกายให้ได้สัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 20-60 นาที เพื่อให้หัวใจแข็งแรง เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ในร่างกายได้ดี
5. ตรวจสุขภาพประจำปี
ข้อสุดท้ายนี้เป็นข้อที่หลายคนมักมองข้าม แต่ควรจะทำมากที่สุด เพราะโรคร้ายบางโรค อย่างเช่นโรคมะเร็งมักจะไม่แสดงอาการในระยะแรก รู้ตัวอีกทีก็ป่วยหนักเป็นระยะสุดท้ายซึ่งรักษาหายได้ยากจนทำให้ผู้ป่วยจำนวนมากต้องเสียชีวิตลง ดังนั้นการตรวจสุขภาพประจำปีจึงสำคัญมาก ยิ่งรู้เร็ว ยิ่งรักษาได้ทันท่วงที บางโรงพยาบาลก็มีแพ็คเกจเฉพาะกลุ่มด้วยเพื่อให้ตรวจเจอโรคได้ตรงจุดมากยิ่งขึ้น เช่น แพ็คเกจตรวจสุขภาพสำหรับผู้หญิง เป็นต้น
แต่นอกจากเราควรปรับการใช้ชีวิตให้มีคุณภาพ เพื่อป้องกันโรคร้ายแรงตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ควรทำก็คือการเตรียมความพร้อมรับมือ หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นจริง ๆ นั่นคือ การทำประกันสุขภาพโรคร้ายแรง อย่างที่บอกไปว่าหากได้เป็นโรคร้ายแรงแล้ว การรักษาจะยากและกินระยะเวลายาวนานมาก สิ่งที่ตามมาก็คือค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่แพงหูฉี่ ยิ่งหากเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชน หรือต้องใช้ยารักษามะเร็งอย่างตรงจุด (Targeted Cancer Therapy) ส่วนใหญ่ค่าใช้จ่ายก็มากถึงหลักล้าน และจะยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ หากต้องรับการรักษาอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะหาย การทำประกันสุขภาพโรคร้ายแรงจะเข้ามาช่วยแบ่งเบาภาระในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี แม้ตอนนี้เราจะยังไม่ได้เจ็บป่วยอะไร แต่การซื้อประกันเอาไว้แต่เนิ่น ๆ เป็นการวางแผนชีวิตในระยะยาวให้ตัวเองและครอบครัวรู้สึกอุ่นใจได้